Search

คำสอน

เรื่องที่ 9: โรม (ข้อคิดเกี่ยวกับหนังสือของโรม)

[บทที่ 1-5] เขาทั้งหลายที่เอาความไม่ชอบธรรมขัดขวาง วามจริง (โรม 1:18-25)

(โรม 1:18-25)
“เพราะว่า พระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ต่อความอธรรม และความไม่ ชอบธรรมทั้งมวลของมนุษย์ ที่เอาความไม่ชอบธรรมนั้นขัดขวางความจริง เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้า ได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระองค์นั้น คือฤทธานุภาพอันนิรันดร์และเทวสภาพของพระเจ้า ก็ได้ปรากฏชัด ในสรรพสิ่งที่พระ องค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้ รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระ คุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระและจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไปเขาอ้างตัวว่าเป็นผู้มี ปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไป และเขาได้เอาสง่าราศีของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลก กับรูปมนุษย์ที่ต้องตายหรือรูปนก รูปสัตว์สี่เท้า และรูปสัตว์เลื้อยคลาน เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาให้ประพฤติอุลา มกตามราคะตัณหาในใจของเขา ให้เขากระทำสิ่งซึ่งน่าอัปยศทางกายต่อกัน เขาได้เปลี่ยนความ จริงของพระเจ้าให้เป็นความเท็จ และได้นมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้ แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้สมจะได้รับความสรรเสริญ เป็นนิตย์ เอเมน”
 
 

พระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์ต่อผู้ใด?

 
เราเห็นได้ว่าท่านอัครสาวกเปาโลได้ประกาศข่าวประเสริฐเดียว กับที่เราได้ประกาศ พระเจ้า ทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์ต่อผู้ใด?การวินิจฉัยของพระเจ้าได้แสดงต่อคนบาปผู้ที่เอาความไม่ชอบธรรมขัด ขวางความจริงกล่าวคือต่อผู้มีบาปและขัดขวางความจริงด้วยความคิดส่วนตัวของพวกเขานั่นเอง
ท่านอัครสาวกเปาโลได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนก่อนสิ่งใดเลยว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์ต่อผู้ที่เอาความไม่ชอบธรรมเข้าขัด ขวางความจริง เขาทั้งหลายเหล่านี้จะได้รับการพิพากษา จากพระเจ้า พระพิโรธของพระเจ้าจะเป็นความพิโรธเช่นใด? พระพิโรธของพระเจ้าจะทำให้เนื้อหนัง และจิตวิญญาณของพวกเขาตกนรก
เราจะต้องไม่คิดว่าเนื้อหนังเท่านั้นที่จะได้รับการพิพากษา เพราะมนุษย์ต่างก็มีจิตวิญญาณด้วย เช่นกัน ดังนั้นพระเจ้าจะทรงพิพากษาทั้งเนื้อหนังและจิตวิญญาณ มีผู้ที่ขัดขวางความจริงของพระเจ้า ด้วยความคิดทางโลก มีผู้ที่ต่อต้านความชอบธรรมของพระเจ้าแล้วเข้าครอบครองบาป พระเจ้าทรงสำ แดงพระพิโรธและการพิพากษาของพระองค์ต่อผู้ที่มีบาปของความใจแข็งที่ไม่เกรงกลัวพระเจ้า
อัครสาวกเปาโลกล่าวในโรม 1:17ว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” เขากล่าวเช่นกันว่าพระเจ้าทรงสำแดงการพิพากษาและพระพิโรธแก่ผู้ที่เอาความผิดบาปเข้าขัดขวางความจริง
 
 

ผู้ที่ไม่เชื่อจะตกอยู่ภายใต้พระพิโรธของพระเจ้า

 
พระเจ้าประทานความจริงของความรอดอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก ความจริงและความรักของพระเจ้าจึงกระจายไปทั่วโลก จึงไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับการเพิกเฉยต่อความจริงและความรักของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงพิพากษาทุกคนที่ต่อต้านและไม่เชื่อในข่าวประเสริฐของความจริง
ลองคิดถึงผู้ที่ยังไม่ได้รับความรักของข่าวประเสริฐที่แท้จริง เราเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างกล่าวคือน้ำ, ต้นหญ้า, ต้นไม้, ท้องฟ้า, นกและอื่นๆอีกมากมาย สิ่งต่างๆเหล่านี้จะคงอยู่โดยปราศจากการสร้างสรรค์ของพระเจ้าได้อย่างไร? พระคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่า “ด้วยว่าบ้านทุกหลังต้องมีผู้สร้างแต่ว่าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งคือพระเจ้า” (ฮีบรู 3:4) มันไม่ใช่ความ ผิดที่พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าและพระวจนะของความจริงใช่ไหม?
ดังนั้น จึงเหมาะสมแล้วที่ผู้ที่ไม่เชื่อในความสวยงามของการยกความผิดบาปจะต้องรับการพิ พากษาจากพระเจ้า พวกเขายืนยันในทฤษฎีวิวัฒนาการ พวกเขายืนกรานว่าจักรวาลนี้ค่อยๆพัฒนาตัวมันเองตามธรรม ชาติ พวกเขากล่าวเช่นกันว่าในตอนแรกเมื่อ 15 ล้านปีที่แล้วมีระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่าบิ๊กแบ๊งค์ แล้วจากนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตต่างๆเกิดขึ้น พวกเขากล่าวว่าความเป็นจริงของชีวิตตามแบบดั้งเดิมเช่นนี้ก็เปลี่ยนแปลง และมันก็พัฒนาตัวเองไปสู่ปลา สัตว์เดรัจฉาน และท้ายที่สุดก็เป็นมนุษย์ ถ้าหากทฤษฎีนี้ถูกต้อง ท้ายที่สุดมนุษยชาติก็จะเปลี่ยนไปสู่รูปแบบชีวิตอื่นๆในอีกหนึ่งหรือสองพันปีข้างหน้า
“ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระองค์นั้น คือฤทธานุภาพอันนิรันดร์และเทวสภาพของพระเจ้า ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย” (โรม 1:20) ผู้คนไม่ยอมรับและปฏิเสธพระเจ้า แม้พวกเขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าทรงมีชีวิตเมื่อพวกเขามองดูความน่าประหลาดใจและความลึกลับของธรรมชาติ ผู้ที่ไม่เชื่อนั้นจะตกอยู่ภายใต้พระพิโรธของพระเจ้า หลายคนไม่ได้ถวายพระเกียรติแก่พระเจ้าหรือหาได้ขอบ พระคุณไม่ แต่กลับคิดในสิ่งไม่เป็นสาระจิตใจที่โล่เขลาของพวกเขาก็มืดมัวไป เขาอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไป และเขาได้เอาสง่าราศีของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลก กับรูปมนุษย์ ที่ต้องตายหรือ รูปนก รูปสัตว์สี่เท้า และรูปสัตว์เลื้อยคลาน การพิพากษาของพระเจ้าจึงรอคอยคนพวกนี้อยู่อย่างชัดเจน ทุกคนผู้ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่นั้นตกอยู่ภาย ใต้การพิพากษาของพระเจ้าไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเยซูหรือ ไม่ก็ตาม
 
 
พระเจ้าจึงทรงปล่อยผู้ที่ไม่เชื่อให้ประพฤติอุลามก
 
“เหตุฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาให้ประพฤติอุลามกตามราคะตัณหาในใจของเขา ให้เขากระทำสิ่งซึ่งน่าอัปยศทางกายต่อกัน เขาได้เปลี่ยนความจริงของพระเจ้าให้เป็นความเท็จ และได้นมัส การและปรนนิบัติสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้สมจะได้รับความสรรเสริญ เป็นนิตย์ เอเมน เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้เขามีราคะตัณหาอันน่าอัปยศ แม้แต่พวกผู้หญิงของเขาก็เปลี่ยนจากการสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ให้ผิดธรรมชาติไป ฝ่ายผู้ชายก็เลิกการสัมพันธ์กับผู้หญิงให้ถูกตามธรรมชาติเช่นกัน และเร่าร้อนด้วยไฟแห่งราคะตัณหาที่มีต่อกัน ผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันประกอบกิจอันชั่วช้าอย่างน่าละอาย เขาจึงได้รับผลกรรมอันสมควรแก่ความผิดของเขา” (โรม 1:24-27)
ข้อความนี้ต้องการที่จะบอกอะไร? พระเจ้าทรงปล่อยให้มนุษย์ผู้ได้นมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้ให้ทำบาปได้ตาม ที่พวกเขาต้องการ พระองค์ทรงปล่อยพวกเขาให้แก่ซาตานเช่นกัน พระเจ้าทรงยอมให้ซาตานทำในสิ่งที่เขาต้องการ ดังนั้นเราจะต้องเชื่อในพระเจ้าและจะต้องรอดจากบาปด้วย “แม้แต่พวกผู้หญิงของเขาก็เปลี่ยนจากการสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ให้ผิดธรรมชาติไป ฝ่ายผู้ชายก็เลิกการสัมพันธ์กับผู้หญิงให้ถูกตามธรรมชาติเช่นกัน และเร่าร้อนด้วยไฟแห่งราคะตัณหาที่มีต่อกัน” สิ่งนี้ก็เหมือนกับการปฏิเสธพระเจ้าและมันก็เป็นสาเหตุให้เกิดโรคเอดส์
พระเจ้าประทานธรรมชาติมาให้ใช้ โดยผู้ชายควรอยู่กับผู้หญิง อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าผู้ชายมีความสัมพันธ์กับผู้ชายและผู้หญิงมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงก็แสดงว่าพวกเขาปฏิเสธการใช้ธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้มา หนังสือของบทโรมได้เขียนไว้มาประมาณ 1900ปีมาแล้ว ท่านอัครสาวกเปาโลได้ทำนายว่าผู้ใดก็ตามที่ละทิ้งการใช้ธรรม ชาติทางเพศของพวกเขาจะได้รับผลกรรมอันสม ควรแก่ความผิดของพวกเขา พระวจนะของพระเจ้านั้นมีผลอย่างแท้จริงในปัจจุบันนี้ เราทราบว่าโรคเอดส์นั้นมีอยู่ทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่พวกรักร่วมเพศ
มันเพียงพออย่างสิ้นเชิงสำหรับพวกเขาที่จะต้องได้รับผลกรรมจากบาปทางเพศของตนพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์ต่อผู้ชายผู้เปลี่ยนจากความสัมพันธ์ตามธรรมชาติทางเพศของพวกเขา พวกเขาสมควรที่จะได้รับผลกรรมของโรคเอดส์ โรคนี้เกิดจากความไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแน่นอน พระเจ้าพระเจ้าทรงทอดทิ้งผู้ที่ไม่เชื่อ อีกนัยหนึ่งคือแน่นอนว่ามันเป็นการสาปแช่งของพระเจ้า
 
 
พวกเขาขัดขวางความชอบธรรมของพระเจ้า
 
มนุษย์ที่ไม่ชอบรักษาพระเจ้าเอาไว้ในหัวใจของพวกเขานั้นก็จะเป็นตามนี้ “พวกเขาเต็มไปด้วยสรรพการอธรรม การล่วงประเวณี ความชั่วร้าย ความโลภ ความมุ่งร้าย เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา การฆาตกรรม การวิวาท การล่อลวง การคิดร้าย พูดนินทา ส่อเสียด เกลียดชังพระเจ้า หยาบคาย จองหอง อวดตัว ริทำชั่วอย่างใหม่ ไม่เชื่อฟังบิดามารดา อปัญ ญา ไม่รักษาคำสัญญา ไม่มีความรักกัน ไม่ยอมคืนดีกัน ปราศจากความเมตตา แม้เขาจะรู้การพิพากษาของพระเจ้าที่ว่าคนทั้งปวงที่ประพฤติเช่น นั้นสมควรจะตาย เขาก็ไม่เพียงประพฤติเท่านั้น แต่ยังเห็นดีกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย” (โรม 1:29-32)
สิ่งที่ “คนทั้งปวงที่ประพฤติเช่นนั้น” ทำกับสิ่งที่คนทั้งปวงประ พฤตินั้นเป็นความชั่วเช่นเดียวกันไหม? พวกเขา”ยอมรับ”พวกเขาเอง สิ่งที่มนุษย์ผู้ต่อต้านพระเจ้าทำกับคนชอบธรรมคือเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าหรือ? พวกเขาข่มเหงคนชอบธรรมโดยกล่าวว่า “ท่านเป็นคนนอกรีต” คนชอบธรรมถูกข่มเหงเพื่อประโยชน์ของความชอบธรรมหลังจากที่พวกเขาเชื่อในพระเยซู พวกเขาได้รับพระพร
ผู้คนเห็นใจผู้ที่หลงทางอยู่โดยเนื้อหนัง อย่างไรก็ตามมันแปลกที่จะกล่าวว่า เราเห็นว่าพวกเขาคัดค้านและขัดขวางผู้อื่นจากการเชื่อในพระเยซูและเป็นผู้ชอบธรรมโดยการได้รับการยกความผิดบาป นี่ก็เหมือนกับเป็นการมีชีวิตอยู่โดยการเป็นทาสของบาปเพราะพวกเขาไม่เชื่อพระเจ้าและไม่เชื่อฟังพระวจนะของความจริง
ดังนั้นผู้ที่ไม่เชื่อและซาตานก็กล่าวว่าเราไม่ควรจะเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์และไม่ต้องได้รับการยกความผิดบาป แม้ว่าพวกเขายอมให้เราเชื่อในพระเยซู คริสต์ก็ตามที ผู้ที่ไม่เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อฟังคิดและกล่าวว่าพวกเขาจะต้องเชื่อในพระเยซูในขณะที่มีความผิดบาปอยู่ในหัวใจเพื่อว่าพวกเขาสามารถไปนรกได้ พวกเขาเพลิดเพลินใจ เมื่อพวกเขาเชื่อพระเยซูว่าทรงเป็นผู้มีบาป ผู้ที่ไม่รู้จักและไม่เชื่อในพระเจ้าแม้ว่าพวกเขาเป็น คริสเตียน ก็ไม่ได้รับพระเจ้าในความตระหนักรู้ของพวกเขาและขัดขวางพระ องค์ พวกเขาขัดขวางความชอบธรรมของพระเจ้า พวกเขานมัสการซาตานและความผิดบาปทั้งหมดเช่น เดียวกัน เหล่าผู้ที่ไม่ได้เกิดใหม่ก็เป็นเช่นนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาเชื่อในพระเยซูก็ตาม มีคริสเตียนแต่เพียงในนามมากมายที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ผู้ที่วางใจในพระเยซูพร้อมกับบาปในหัวใจของพวกเขาโดยไม่เชื่อฟังพระวจนะของความจริงของพระเจ้าและขัดขวางคริสเตียนที่เกิดใหม่ผู้ที่ได้รับการยกความผิดบาปและเป็นผู้บริสุทธิ์โดยการเชื่อในความจริงของพระเยซู คริสต์
 
 
เขาทั้งหลายที่ไม่ได้เกิดใหม่ขัดขวางผู้ที่เกิดใหม่
 
ท่านเปาโลกล่าวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์ต่อผู้ที่ขัด ขวางความจริงในความไม่ชอบธรรม เขากล่าวด้วยว่าการพิพากษาของพระเจ้าได้เปิดเผยจากสวรรค์ที่ขัดขวางความอธรรมและความไม่ชอบธรรมทั้งหมด ทุกสิ่งสำเร็จตามความจริง ความจริงก็คือที่พระผู้เป็นเจ้าทรงลบมลทินบาปทั้งหมดของเราออกไป การพิพากษาของพระเจ้าได้สำแดงต่อผู้ที่ต่อต้านและขัดขวางความจริง เราเรียนรู้ผ่านพระวจนะของพระเจ้าว่าผู้ที่เชื่อทั้งหมดที่ยังไม่ได้เกิดใหม่นั้นจะได้รับการพิพากษาจากพระองค์ พระเจ้าจะทรงพิพากษาผู้ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่แม้ว่าพวกเขาเชื่อในพระเยซูก็ตาม
ผู้ที่เชื่อที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ชอบทำให้ผู้ที่เกิดใหม่เสื่อมเสียด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย คนเหล่านี้จะตกนรก พวกเขาเต็มไปด้วยความมุ่งร้ายและกระซิบบอกต่อกันและกัน ผู้มีบาปที่กระซิบบอกกันและกันให้ต่อต้านความชอบธรรม ต่อต้านการยกความผิดบาปต่างก็จะต้องได้รับการพิพากษา ท่านเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดไหม? เราควรจะเห็นใจพวกเขา พวกเขาขัดขวางพระเจ้าด้วยบาปของตัวเองโดยไม่ทราบว่าพวกเขาต่อต้านพระองค์อยู่ พวกเขากระซิบว่า “มันแปลกนะที่พวกเขาไม่มีบาป มันดูแปลก”
การพิพากษาของพระเจ้าได้สำแดงออกมาต่อผู้ที่ต่อต้านพระองค์ด้วยความชั่วร้ายของพวกเขาเอง คนเหล่านี้มีความพอใจกับผู้ที่ทำเหมือน กัน พวกเขายอมรับผู้ที่กระซิบบอกและผู้ที่ใส่ร้ายว่าเป็นคนถูกต้อง คริสเตียนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่กระซิบบอกผู้อื่นและใส่ร้ายคนชอบธรรม พวกเขาแทงข้างหลังและเกลียดคนชอบธรรมแล้วภูมิใจในตัวเองและกำหนดสิ่งชั่วร้ายต่างๆเข้าด้วยกัน ท่านทราบวิธีที่พวกเขากำหนดสิ่งชั่วร้ายไหม? พวกเขากระทำความชั่วโดยการรวมกับสิ่งอื่นๆ พวกเขาขัดขวางความ ชอบธรรมด้วยสโลแกนเช่นว่า “มาเชื่อในพระเยซูอย่างดี มามีความเชื่อที่ถูกต้อง มาเป็นแสงสว่างของโลก” พวกเขากระทำความผิดบาปโดยการรวมพวกเขาเข้าด้วยกันเพราะมันไม่สนุกที่จะทำบาปแต่เพียงผู้เดียว
ดังนั้นพระเจ้าจึงตรัสในเพลงสดุดี 2:4 ว่า “พระองค์ผู้ประทับในสวรรค์จะทรงพระสรวล องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเย้ยหยันเขาเหล่านั้น” เพราะว่าอาณาจักรของโลกนั้นต่อต้านพระเจ้า “โอ! มันช่างน่าตลก ไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นกับเราโดยไม่ต้องสงสัยว่าท่านต่อต้านเราอย่างท้าทายเช่น ใด ท่านติดสินบนเราให้ต้องพิพากษา” พระเจ้าทรงรอเวลาของการพิพาก ษาเพราะว่าน่าขันเหลือเกิน
 
 
เขาทั้งหลายกล่าวโทษความชอบธรรมจะได้รับการกล่าวโทษจากพระเจ้า
 
เขาทั้งหลายที่ต่อต้านความจริงของพระเจ้าและผู้ที่ไม่ได้เกิดใหม่ที่ทำบาป เขาทั้งหลายผู้เกิดใหม่ก็มีความมุ่งร้ายและความไม่สมบูรณ์ในเนื้อหนังเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในความจริงมันก็แตกต่างกันโดยพื้นฐาน เราเชื่อในพระเจ้าและความจริง เราได้รับการยกความผิดบาปผ่านพระเจ้า อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าทั้งหมด คนเหล่านี้ต่อต้าน”ความชอบธรรมและความจริงของพระเจ้า” “เหตุฉะนั้น โอมนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร เมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่นนั้น ท่านไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะเมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่นท่านก็ได้กล่าวโทษตัวเองด้วย เพราะว่าท่านที่กล่าวโทษเขาก็ยังประพฤติอยู่อย่างเดียวกับเขา” (โรม 2:1)
ท่านเปาโลกล่าวถึงคนยิวและคริสเตียนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่และยึดถือพระบัญญัติเพียงอย่างเดียว พวกเขากล่าวโทษผู้อื่นโดยกล่าวว่า “อย่าทำการฆาตกรรม อย่าล่วงประเวณี อย่าขโมย ให้ปรนนิบัติพระเจ้าเพียงอย่างเดียว” ในขณะที่พวกเขาเองไม่ได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติเลย มีเพียงพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะทรงกล่าวโทษได้อย่างยุติธรรม และมีเพียงพระบุตรของพระองค์ผู้ทรงเกิดใหม่เพียงเท่านั้นที่สามารถปรับโทษตามพระวจนะของพระเจ้าได้
คนประเภทนี้จะต้องถูกปรับโทษเนื่องจากพวกเขาปรับโทษคนชอบธรรมโดยพลการ พระเจ้าจะทรงปรับโทษทุกคนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่นั่นก็คือชาวยิว และคริสเตียนโดยนิตินัยนั่นเอง พระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธต่อผู้ที่นำชีวิตทางศาสนาโดยการรักษาพระบัญญัติ ในขณะที่ยังไม่ ได้เกิดใหม่ และผู้ที่เชื่อว่าพวกเขาจะต้องตกนรกหากพวกเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้าและพวกเขาจะต้องขึ้นสวรรค์หากพวกเขาทำตามที่พระเจ้าทรงบอกไว้ คนของความเชื่อคือผู้ที่เป็นคนชอบธรรมหลังจากที่เขาหรือเธอเชื่อในพระเยซู คริสต์ เราจะต้องแยกแยะให้ได้ เขาทั้งหลายเชื่อในพระเจ้าได้และนำชีวิตให้ดำรงอยู่อย่างเคร่งครัดในศาสนาโดยไม่ได้เกิดใหม่ปรับโทษคนชอบธรรมตามบรรทัดฐานการของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าจะทรงปรับโทษพวกเขาอย่างแน่นอน พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขากำลังปรับโทษตัวเองตามบรรทัดฐานของตัวเอง โอ มนุษย์เอ๋ยผู้กล่าวโทษคนชอบธรรมด้วยความเชื่อที่ไม่ถูกต้องโดยไม่ได้รับการยกความผิดบาป ไม่ได้รับความจริงของพระเจ้าอันยิ่งใหญ่ ท่านคิดว่าท่านสามารถรอดพ้นจากการพิพากษาของพระเจ้าได้หรือ? คนเหล่านี้จะต้องได้รับการปรับโทษจากพระเจ้า
 
 
การพิพากษาลงโทษของพระเจ้านั้นชอบธรรม
 
“แต่เรารู้แน่ว่า การที่พระเจ้าทรงพิพากษาลงโทษคนที่ประพฤติเช่นนั้นก็เป็นตามความจริง” (โรม 2:2) แต่เรารู้ว่าการที่พระเจ้าทรงพิพาก ษาลงโทษคนที่ปรับโทษผู้อื่นในขณะที่ยังไม่ได้เกิดใหม่แม้ว่าพวกเขาเชื่อในพระเยซูนั้นเป็นตามความจริง เราจะต้องทราบว่าพระเจ้าทรงส่งคนเหล่านี้ไปนรกและพระองค์จะทรงพิพากษาลงโทษพวกเขาตามความจริงของพระองค์
พระเจ้าทรงส่งคนบาปไปนรกเพราะความจริงของพระองค์นั้นถูกต้องและเพราะการพิพากษาของพระเจ้านั้นแม่นยำ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะตกนรกหรือไม่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับลัทธิของการกำหนดไว้ที่ได้ประกาศว่า “พระเจ้าทรงรักบางคน แต่ก็ทรงเกลียดคนอื่นอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วย” พระเจ้าทรงเลือกมนุษย์ทุกคนในพระเยซู คริสต์ ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มสร้างโลก (เอเฟซัส 1:4)
ใครก็ตามที่เชื่อว่าพระเยซู คริสต์ทรงลบมลทินบาปทั้งหมดของเขาหรือเธอ ก็ได้รับการยกความผิดบาป พระเจ้าทรงกำหนดสิ่งนี้ไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นคนทั้งหลายเหล่านี้ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่แม้ว่าพวกเขาเชื่อในพระเยซูก็ตาม ก็จะต้องตกนรก พวกเขาจะต้องตกนรกตามการพิพากษาของพระเจ้าและนี่คือความจริง
การพิพากษาของพระเจ้าที่ได้ส่งให้คนบาปไปนรกนั้นถูกต้อง ทำไม? เพราะพวกเขาปฏิเสธความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและไม่ได้รับความรอดของพระเจ้าและไม่เชื่อในพระองค์ ตามความจริงมันจึงเหมาะ สมสำหรับพระองค์ที่จะทรงส่งคนเหล่านี้ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ไปสู่นรก
บางคนอาจจะพูดว่า “ทำไมพระเจ้าไม่ทรงประกาศข่าวประเสริฐมาให้แก่เรา?” พระองค์ไม่ทรงทำหรือ? พระเจ้าทรงประกาศข่าวประ เสริฐไปให้ท่านหลายครั้งหลายหนแล้ว การพยายามรับความรอดก็ต้องเปิดหูเปิดตาให้กว้าง ในโลกนี้มีเพียงโบสถ์ไม่กี่ที่เท่านั้นที่จะประกาศข่าวประเสริฐที่แท้จริง อย่าง ไรก็ตามท่านพบกับความจริงได้หากท่านค้นหามันอย่างแท้จริง ในกรณีของผม ผมเหนื่อยมากในการค้นหามัน! หลัง จากประกาศคำสอนไปแล้วผมก็ยังไม่ได้เกิดใหม่เลย ผมอธิษฐานว่า “โอ พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นผู้มีบาปต่อพระพักตร์พระเจ้า แม้ว่าข้าพระ องค์ได้ประกาศพระวจนะของพระองค์ไปสู่ผู้คนก็ตาม สิ่งที่ข้าพระองค์บอกกับผู้คนก็เป็นสิ่งที่ข้าพระองค์บอกกับตัวเอง ข้าพระองค์เป็นคนบาป ได้โปรดมาพบข้าพระองค์ ได้โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รอดด้วย”
ผมไม่ทราบว่าผมต้องเหน็ดเหนื่อยกับการค้นหาความจริงมากเท่าใด พระเจ้าทรงต้องการพบใครก็ตามที่ค้นหาพระองค์ พระเจ้าทรงต้องการไถ่บาปให้ทุกคนแม้แต่กับผู้ที่ไม่ได้ค้นหาพระองค์ “เราจะเรียกเขาเหล่านั้นว่าเป็นชนชาติของเรา แต่เมื่อก่อนเขาหาได้เป็นชนชาติของเราไม่ และจะเรียกเขาว่าเป็นที่รักซึ่งเมื่อก่อนเขาหาได้เป็นที่รักไม่” (โรม 9:25) พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอดของเราที่เสด็จมายังโลกนี้เพื่อช่วยพวกเรา ผู้ที่พยายามค้นหาพระองค์อย่างจริงจังก็จะได้พบกับพระองค์อย่างแน่นอน บางคนก็ไม่ได้ค้นหาพระเจ้า แต่กลับได้โอกาศที่จะพบกับพระผู้เป็นเจ้า เมื่อผู้ประกาศข่าวประเสริฐได้มาถึงพวกเขาและได้ประกาศข่าวประเสริฐออกไป บางคนอาจจะสนใจในข่าวประเสริฐแต่บางคนอาจจะไม่สนใจ มนุษย์ที่จะต้องตกนรกก็จะจบสิ้นลงที่นั่นเพราะ ว่าพวกเขาปฏิเสธข่าวดี
มันเหมาะสมสำหรับผู้ที่จะต้องตกนรก ให้ต้องจบสิ้นลงในนรกตามความจริงของพระเจ้า เขาทั้งหลายที่สมควรจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ก็เข้าถึงได้โดยการเชื่อในพระเยซูตามการวินิจฉัยที่ถูกต้อง แม้ว่าพวกเขาไม่ได้มีความสามารถที่โดดเด่นอะไร มันเกิดขึ้นได้โดยการพิพาก ษาของพระเจ้าที่ถูกต้อง
พระเจ้าไม่ได้ส่งคนหนึ่งไปนรกและอีกคนไปอาณาจักรสวรรค์ตามการสุ่มบางคนจากบัญชีที่พระองค์ทรงชื่นชอบ แต่พระองค์ทรงพิ พากษาตามการพิพากษาที่ถูกต้องในความจริง ดังนั้นเราจะต้องประกาศข่าวประเสริฐ “โอ มนุษย์เอ๋ย ท่านที่กล่าวโทษคนที่ประพฤติเช่นนั้น และท่านเองยังประพฤติเช่นเดียวกับเขา ท่านคิดหรือว่าท่านจะพ้นจากการพิพากษาลงโทษของพระเจ้าได้ หรือว่าท่านประมาทพระกรุณาคุณอันอุดมและความอดกลั้นพระทัย และความอดทนของพระองค์ ท่านไม่รู้หรือว่า พระกรุณาคุณของพระเจ้านั้นมุ่งที่จะชักนำท่านให้กลับใจใหม่” (โรม 2:3-4)
 
 
พระเยซูทรงชำระมลทินบาปทั้งหมดของโลกนี้ผ่านความรักของพระองค์
 
ท่านอัครสาวกเปาโลกล่าวแก่ผู้มีบาป ชาวยิวและคริสเตียนทางนิตินัยผู้ที่ไม่ได้รับทั้งความรักของพระเยซูและไม่ได้เกิดใหม่ว่าพวกเขาจะได้รับการปรับโทษ พวกเขาถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องตกนรก แต่อะไรคือข่าวประเสริฐ? ในโรม 2:4ที่พระเจ้าตรัสว่า “หรือว่าท่านประมาทพระกรุณาคุณอันอุดมและความอดกลั้นพระทัย และความอดทนของพระองค์ ท่านไม่รู้หรือว่า พระกรุณาคุณของพระเจ้านั้นมุ่งที่จะชักนำท่านให้กลับใจใหม่?” ความรักของพระเจ้าได้เกิดขึ้นแก่ทุกคนอย่างแม่นยำและมีอยู่ทั่วไปอย่างยุติธรรม
ไม่มีผู้ใดอยู่นอกเหนือจากพระกรุณาของความรอดของพระเจ้า พระเยซูทรงลบมลทินบาปทั้งหมดของโลกนี้ออกไป พระเยซูทรงทำให้เราบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ พระองค์ทรงลบมลทินบาปดั้ง เดิมและยกความ ผิดบาปแต่ละวันของเราเมื่อใดก็ตามที่เราอธิษฐานของยกความผิดบาปให้เพียงเท่านั้นหรือ? ไม่ พระผู้เป็นเจ้าทรงลบมลทินบาปทั้งหมดของโลกนี้ไปครั้งเดียวและเพื่อทั้งหมด อย่างไรก็ตามเขาทั้งหลายที่ต่อต้านพระเจ้าก็เพิกเฉยพระกรุณาคุณและความรักของพระเจ้า “พระเยซูทรงช่วยพวกเราได้อย่างไร? ฉันจะกล่าวว่าฉันไม่มีบาปได้อย่างไรแม้ว่าฉันยังคงมีบาปอยู่อย่างไม่รู้จักหยุด? มันเป็นเรื่องเหลวไหล ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอดและพระเยโฮวาห์เจ้าก็ตามที พระเจ้าจะลบมลทินบาปทั้งหมดที่ฉันยังคงทำอยู่ได้อย่างไร?”
ผู้คนคิดตามเนื้อหนังเช่นนี้ แต่พระเจ้าก็ทรงชำระความผิดบาปทั้งหมดของโลกออกไปแล้วด้วยความรักของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมายังโลกนี้และลบมลทินบาปทั้งหมดของเราออกไปอย่างสม บูรณ์ พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบถึงความไม่สสบูรณ์และความบกพร่องของมนุษย์ (เนื้อหนังที่ทำบาปหลายต่อหลายครั้งอย่างไม่มีทางเลือก) พระองค์ทรงลบมลทินบาปทั้งหมดของโลกนี้ไปครั้งเดียวและเพื่อทั้ง หมดด้วยพิธีบัพติศมาและการหลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบถึงความบกพร่องของเนื้อหนังเป็นอย่างดี “เราช่วยท่านให้รอดเพราะว่าเรารู้ว่าท่านจะทำบาปซ้ำและซ้ำอีกจนตาย”
พระผู้เป็นเจ้าทรงชำระความผิดบาปของโลกนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงยอมรับเราทั้งหมดโดยการไถ่บาปให้เรา พระผู้เป็นเจ้าทรงจ่ายค่าจ้างของบาปให้แก่ผู้มีบาปและทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ด้วยฤทธานุภาพและความ ชอบธรรมของพระองค์ (พระเยซูทรงรับบัพติศมาจากยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา ณ แม่น้ำจอร์ แดน) พระผู้เป็นเจ้าทรงยอมให้เราได้รับพระพร ได้เป็นบุตรของพระองค์และทรงยอมให้เราเข้าสู่อาณา จักรสวรรค์โดยการจ่ายค่าจ้างของบาปของเราด้วยชีวิตของพระองค์ (โลหิต) พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ผู้มีบาปได้เป็นบุตรที่ชอบธรรมของพระองค์
 
 
ผู้ที่ไม่เชื่อจะต้องกลับใจใหม่และเปลี่ยนใจไปสู่พระผู้เป็นเจ้า
 
“หรือว่าท่านประมาทพระกรุณาคุณอันอุดมและความอดกลั้นพระทัย และความอดทนของพระ องค์ ท่านไม่รู้หรือว่า พระกรุณาคุณของพระเจ้านั้นมุ่งที่จะชักนำท่านให้กลับใจใหม่?” พระเจ้าทรงตัด สินผู้ที่ประมาทและปฏิเสธพระกรุณาคุณอันอุดมและความอดกลั้นพระทัย และความอดทนของพระเจ้าให้ตกนรก มันแน่นอนว่าพระเยซู คริสต์ทรงชำระความผิดบาปทั้งหมดของโลกไปและแน่นอนว่าข่าวประเสริฐได้กระจายออกไปทั่วโลก อย่างไรก็ตามผู้คนยังคงตกนรกเพราะพวกเขาไม่เชื่อข่าวประเสริฐ พระเยซูทรงช่วยเราให้รอดโดยการชำระความผิดบาปทั้งหมดไปเพื่อปกป้องเราจากการตกนรกแม้เราจะต้องการไปนรกด้วยการประมาทความอดกลั้นพระทัยและความอดทนของพระกรุณาคุณของพระองค์ก็ตาม แม้ว่าเราจะต้องการไปนรก พระองค์ก็ทรงช่วยเราให้รอด
ดังนั้นเราต้องเชื่อในน้ำและพระโลหิตของพระเยซูเพื่อให้รอด เชื่อและจะรอด เขาทั้งหลายที่ประมาทความรักและความรอดของพระเจ้าจะตกนรก นรกคือที่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับผู้ประมาทพระคุณของความรอดของพระองค์และพระกรุณาคุณอันสมบูรณ์ ผู้ที่ไม่เชื่อจึงซื้อตั๋วไปนรกให้ตัวเองแล้ว ผู้ที่ถูกกำหนดให้ต้องตกนรกจะต้องกลับใจใหม่และกลับใจของตัวเองไปสู่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าท่านไม่มีความเชื่อในข่าวประเสริฐที่แท้จริงนี้ท่านก็จะต้องกล่าวคำอำลากับอาณาจักรสวรรค์
 
 
ผู้คนตกนรกเพราะว่าพวกเขาปฏิเสธความรักของพระเจ้า
 
“แต่เพราะท่านใจแข็งกระด้างไม่ยอมกลับใจ ท่านจึงส่ำสมพระพิโรธให้แก่ตัวเองในวันแห่งพระพิโรธนั้น ซึ่งพระเจ้าจะทรงสำแดงการพิพากษาลงโทษที่เที่ยงธรรมให้ประจักษ์” (โรม 2:5) เขาทั้ง หลายที่ใจแข็งกระด้างและผู้ที่ไม่ได้กลับใจใหม่จะต้องตกนรก บางคนตกนรกเพราะว่าพวกเขาปฏิเสธความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผู้มีบาปที่ปฏิเสธความจริงด้วยหัวใจที่ดื้อรั้นและไล่ตามความคิดส่วน ตัวก็จะต้องตกนรกตามค่าจ้างของบาปของพวกเขา เขาทั้งหลายที่ปฏิเสธที่จะรับความรักของพระเจ้าและยืนกรานที่จะอธิษฐานกลับใจใหม่เพื่อให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ทีละน้อยก็จะต้องตกนรกในท้ายที่สุด การสั่งสมพระพิโรธของพระเจ้าจน ถึงวันสำแดงการพิพากษาลงโทษที่เที่ยงธรรมให้ประจักษ์นั้นก็เป็นการปฏิเสธความรักของพระผู้เป็นเจ้าด้วย
ในแผนการไถ่บาปของพระองค์ พระเจ้าทรงตัดสินพระทัยที่จะช่วยคนบาปและทำให้พวกเขาเป็นคนชอบธรรมแม้ว่าก่อนหน้านั้นซา ตานให้หลอกให้เราทำบาปก็ตาม พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาช่วยเราให้รอดและทำให้เราบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตามผู้มีบาปไม่ได้ยอมรับในสิ่งนี้ พวกเขาได้สั่งสมพระพิโรธของพระองค์จนเต็มโดยการปฏิเสธความรักของพระเจ้า และจะได้รับการปรับโทษในวันแห่งพระพิโรธและวันสำแดงการพิพากษาลงโทษที่เที่ยงธรรมให้ประจักษ์ การพิพากษาลง โทษที่เที่ยงธรรมของพระเจ้าคือการส่งคนเหล่านี้ที่มีบาปในหัวใจของเขาไปนรกนั่นเอง
ทำไม? เพราะว่าพระเจ้าทรงชำระความผิดบาปทั้งหมดของโลกนี้ออกไปและทรงทำให้ทุกคนในโลกนี้รอดด้วยความเชื่อนั่นเอง ผู้ที่ไม่เชื่อจะต้องตกนรกอย่างแน่นอน พวกเขาดื้อรั้นและอาสาที่จะตกนรก ดังนั้นพวกเขาจะเสียใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในความโง่เขลาของตัวเอง ผู้มีบาปจะตกนรกหากพวกเขาไม่ยอมรับความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ผู้คนคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงมีเหตุผลเพราะว่าพระองค์ทรงส่งบางคนเท่านั้นที่ไปนรกและคนอื่นๆได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์เหมือนกับสุ่มตามอำนาจของพระองค์เอง อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง พระเจ้าทรงสร้างนรกขึ้นมาให้กับคนดื้อรั้นที่ปฏิเสธความรักและความจริงของพระ องค์ เพื่อให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมให้พวกเขาต้องไป
พระคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่านรกก็เหมือนกับบึงที่มีไฟไหม้และกำมะถัน มีตัวหนอนสกปรกสำหรับผู้ที่ชอบมีบาปมากกว่า พวกเขาอาจจะร้องให้ว่า “ไม่แล้ว ไม่ ข้าพระองค์เกลียดสถานที่แห่งนี้” แต่พระเจ้าจะตรัสว่า “เราได้ชำระความผิดบาปทั้งหมดของท่านแล้ว แต่ท่านกล่าวว่ามันไม่สำคัญเลยหากท่านถูกบาปครอบงำ ดังนั้นเราจึงให้ตัวหนอนเป็นของประทานแก่ท่าน เป็นดั่งเพื่อนของท่าน เพราะว่าท่านไม่ชอบที่จะได้รับการยกความผิดบาปเลย” “ไม่ พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เกลียดมัน”
“ท่านได้ร้องขอมันมาแม้ท่านเกลียดมัน เราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของความชอบธรรม เราให้สิ่งที่ท่านต้องการ เรามอบนรกให้แก่ผู้ที่ชอบมีความผิดบาปในหัวใจของพวกเขา” มันเป็น การพิพากษาที่ถูกต้องของพระเจ้า มนุษย์เราทำบาปในขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ควรเพิกเฉยต่อข่าวประเสริฐของความรอดของพระเจ้าที่ได้ชำระความผิดบาปทั้งหมดของโลกนี้ออกไป
ผู้คนตกนรกเพราะว่าพวกเขามีหัวใจที่แข็งกระด้าง เราไม่ควรจะดื้อรั้นต่อพระพักตร์พระเจ้า เราควรจะเชื่อว่าพระเจ้าทรงชำระความผิดบาปทั้งหมดของโลกนี้ออกไปแล้ว ท่านจะต้องเชื่อแม้ว่ามันยัง ไม่ได้ปรากฎก็ตาม
 
 
พระเจ้าทรงบอกเราว่าพระองค์ทรงรักเราแล้ว
 
พระเจ้าทรงบอกเราว่าพระองค์ทรงรักเราแล้ว “เราชำระความผิดบาปของท่านเรียบร้อยแล้ว” ท่านจะต้องเชื่อในความจริงอันนี้ เมื่อพระเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงสร้างสวรรค์และโลก เราจะต้องเชื่อเพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นคือความจริง ความเชื่อเริ่มต้นด้วยความเชื่อในในพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนเชื่อในบางสิ่งเพียงเมื่อพวกเขาเข้าใจมันด้วยสมองเล็กๆของตนและไม่เชื่อเมื่อพวกเขาไม่เข้าใจ ผู้ที่ไม่เชื่อที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงช่วยผู้มีบาปทั้งหมดให้รอดจากความผิดบาปของพวกเขาจะต้องตกนรก พวกเขาเป็นผู้หนึ่งที่ปรุงแต่งจิตใจให้ต้องตกนรก
เคยมีคริสเตียนที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยออกมาประ กาศว่า “ผมสารภาพต่อพระพักตร์พระเจ้าว่าผมเป็นผู้มีบาปจนตาย” เขาตายและไปนรกอย่างแน่นอน เขากล่าวถึงพระเจ้าว่า “ผมขอประ กาศว่าผมเป็นผู้มีบาปต่อพระพักตร์พระเจ้า และไม่สามารถเป็นผู้ชอบธรรมต่อพระพักตร์พระองค์ได้” เขายืนยันว่าเป็นผู้มีบาปตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงเวลาที่เขาตาย เขาปฏิเสธความรักและความจริงของพระเจ้าจนถึงลมหายใจสุด ท้ายของเขา พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า”ท่านเต็มไปด้วยความเชื่อของตัวท่านเอง! มันสมควรแล้วที่ท่านจะต้องตกนรกตามความเชื่อของท่านเอง เราส่งท่านไปนรกเพราะว่าผู้มีบาปไม่สามารถเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้”
 
 
ถ้าฉันเชื่อ
 
คนที่กล่าวว่า “ฉันประกาศว่าฉันเป็นคนบาปจนตาย” ต้องไปนรก แม้พระเจ้าก็ไม่ทรง เลือกที่จะช่วยผู้คนเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ที่พวกเขาประกาศว่าพวกเขาเป็นคนบาปแม้ว่าพวกเขาอาจจะต้องตกนรกในวันมะรืนนี้ก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังสอนผู้ที่เชื่อคนอื่นๆผู้ที่วางในในพวกเขาว่า “เราเป็นคนบาปจนตาย และจะยังคงเป็นคนบาปเมื่อเรายืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า” ดังนั้นผู้ที่เชื่อหลายคนต่างก็เชื่อฟังแนวทางทางศาสนาที่เหมือนกันนี้ พระเจ้าตรัสว่าคนบาปจะต้องตกนรก อย่างไรก็ตามคริสเตียนมาก มายในคริสตจักรปัจจุบันนี้ต่างก็เชื่อฟังการสอนนี้ พระเจ้าตรัสว่าคนบาปเหล่านี้จะต้องเสียใจตลอดไปและจะกัดฟันรับเปลวไฟที่ร้อน แรงของนรก แล้วก็กล่าวว่า “ถ้าฉันเชื่อ; ถ้าฉันเพียงเชื่อมัน”
“ถ้าฉันเชื่อในความจริงที่ว่าพระเยซูทรงชำระความผิดบาปทั้ง หมดและละทิ้งความคิดของตัวฉันเอง ฉันจะได้เข้าไปในอาณาจักรสวรรค์!” “ถ้าฉันเชื่อ; ถ้าฉันเพียงแต่เชื่อ” ในนรกก็จะมีผู้คนมากมายเปร่งเสียงต่างๆเช่นนี้ออกมา พวกเขาจะกล่าวว่า “ถ้า ถ้า ถ้าฉันเชื่อ ถ้าฉันได้ รับความจริง ฉันจะได้เป็นบุตรของพระองค์ ทำไมฉันช่างโง่เช่นนี้...”
ในตอนนั้นเราซึ่งเป็นผู้ชอบธรรมก็จะทูลถามพระเจ้าว่า “พระ องค์เจ้าข้า ได้โปรดแสดงให้พวกเราดูด้วยเถิดว่าตอนนี้คนบาปเหล่านั้นกำลังทำอะไรอยู่ พวกเขาได้เคยข่มเหงพวกเราผู้ชอบธรรม” “ไม่ บุตรของเรามันไม่ดีสำหรับท่านเลย เพราะว่าหัวใจของท่านจะทุกข์ทรมานหลังจากที่ท่านได้เห็นคนคุ้น เคยของท่านในหมู่คนบาปพวกนั้น ท่านยังอยากจะเห็นคนที่ท่านรู้จักมีความทุกข์ทรมานหรือ?” “ได้โปรดให้เราได้ดูเพียงครั้งเดียว!” พระผู้เป็นเจ้าอาจจะแสดงให้เราได้เห็นในวันใดวันหนึ่งเพราะว่าพระ องค์ทรงมีพระทัยที่กว้างขวาง เราลองมาสมมุติว่าถ้าเราได้เห็นมัน เราก็จะเห็นหลายๆคนร้องให้ออกมาดังๆเช่นว่า “ถ้าฉันเชื่อ ถ้าฉันเชื่อ” แล้วเราก็จะสงสัยว่า “นั่นเป็นเสียงอะไร? คนพวกนั้นร้องเพลงหรือ?” “ลองฟังดูดีๆว่าพวกเขาร้องเพลงอยู่หรือคร่ำครวญ” ชายหญิงในไฟร้อนนั้นร้องเพลงประสานเสียงและเศร้าโศกว่า “ถ้าฉันเชื่อ”
คนดื้อรั้นก็จะต้องตกนรกถ้าพวกเขาไม่ได้ดื้อรั้นในทางที่ถูกต้อง เราต้องการความดื้อดึงอย่างแท้จริงในการยึดความจริง มนุษย์เราไม่ควรลังเล เราควรจะดื้อดึงเมื่อเราควรจะดื้อดึง เราทั้งหมดควรจะดื้อดึงในทางที่ถูกต้องและเราจะต้องทำลายความดื้อดึงของเราเมื่อเราจำเป็น
 
 
พระเจ้าจะทรงประทานแก่ทุกคนตามควรแต่การกระทำของเขา
 
พระเจ้า “จะทรงประทานแก่ทุกคนตามควรแก่การกระทำของเขา สำหรับคนที่พากเพียรทำความดี แสวงหาสง่าราศี เกียรติ และความเป็นอมตะนั้น พระองค์จะประทานชีวิตนิรันดร์ให้” (โรม 2:6-7) พระเจ้าจะทรงประทานแก่ทุกคนตามควรแต่การกระทำของเขาหรือเธอ และทรงพิพากษาเขาหรือเธอด้วย “ประทาน” หมายความถึง “ให้รางวัลตามควรแก่การกระทำ” คนประเภทไหนที่ใช้ความอดทนในการกระทำความดีอยู่ในขณะที่กำลังแสวงหาสง่าราศี เกียรติ และความเป็นอมตะ? เขาหรือเธอคือหนึ่งในผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ช่วยให้รอดอย่างสมบูรณ์นั่นเอง
มีผู้คนอยู่มากมายในโลกนี้ แต่พระเจ้าประทานชีวิตนิรันด์ให้แก่ผู้ที่ยังคงยืนหยัดอยู่กับความ ชอบธรรมและเชื่อในความจริงของพระองค์เพียงเท่านั้นโดยไม่ต้องสงสัยว่าคนอื่นจะว่าอย่างไร พระเจ้าประทานสง่าราศีของอาณาจักรอันเป็นนิรันดร์ให้แก่ผู้ที่ต้องการเป็นคนชอบธรรมและต้องการนำชีวิตให้มีความสุขอย่างเป็นนิรันดร์ พวกเขายังคงทำความดีและแสวงหาสง่าราศี เกียรติ และความเป็นอมตะเพราะต้องการที่จะเป็นบุตรของพระเจ้า พวกเขาจะยังคงยืนหยัดและกระทำความดีต่อไปในการติดตามและดำเนินตามหลังความชอบธรรมของพระเจ้า พระเจ้าจะประ ทานชีวิตนิรันดร์ให้กับคนทั้งหลายเหล่า นี้ พระเจ้าทรงยอมให้พวกเขามีชีวิตอย่างเป็นนิรันดร์และทำให้พวกเขาได้เป็นบุตรของพระองค์ พระบุตรของพระเจ้าก็คือพระเจ้าในอาณาจักรของพระองค์
“แต่พระองค์จะทรงพระพิโรธ และลงพระอาชญาแก่คนที่มักยกตนข่มท่านและไม่เชื่อฟังความจริง แต่เชื่อฟังความอธรรม” (โรม 2:8) “แก่คนที่” อ้างไปถึงกลุ่มผู้คนที่อยู่ตรงข้ามกับผู้ที่ได้รับพระพร พระพิ โรธและพระอาชญาของพระเจ้านั้นได้ให้แก่ผู้ที่ไม่เชื่อฟังความชอบธรรมของพระองค์ ชอบโต้ เถียงและไม่เชื่อฟังความจริง พระเจ้าจะทรงส่งพวกเขาลงนรก คนทั้งหลายเหล่านี้ที่ไม่ได้เกิดใหม่และไม่เชื่อฟังความจริงจัดอยู่ในกลุ่มที่ชอบโต้เถียงและต่อต้านความจริง
เหล่าผู้ที่ไม่ได้เกิดใหม่ก็เป็นผู้ที่ชอบโต้เถียงและชอบที่จะตั้งกลุ่มขึ้นมา ตามประวัติศาสตร์ของเกาหลี บรรพบุรุษของเราได้สร้างกลุ่มคณะขึ้นมาและโต้เถียงปัญหาทางการเมืองต่อกันและกัน กลุ่มที่ปกครองก็จะตัดสินตามความจริงว่าใครจะได้เป็นกษัตริย์ เมื่อหนึ่งในครอบครัวลีได้เป็นกษัตริย์ คนในตระกูลลีก็จะได้อยู่ในกลุ่มสังคมชั้นสูงในขณะที่ผู้อื่นถูกขับไล่หรือถูกข่มเหง แต่เมื่อเปลี่ยนบัลลังค์ไปสู่ตระกูลคิม ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ผู้คนก็ตั้งกลุ่มขึ้นมาสำหรับผลประ โยชน์ส่วนตนไม่ใช่เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เพียงเท่านั้น
ในคริสตจักรปัจจุบันก็คล้ายกันนี้ พวกเขากำหนดกลุ่มศาสนาและนิกายขึ้นมา เพื่ออะไร? เพื่อการไม่เชื่อฟังความจริงเป็นกลุ่ม พวกเขากล่าวเป็นเอกฉันท์ว่าตนมีบาปแม้พระเยซูทรงชำระความผิดบาปของโลกนี้ไปแล้วก็ตาม พวกเขาแสร้งเป็นผู้ชอบธรรมและรอดจากความผิดบาปแต่ไม่ได้เชื่อฟังความจริง พวกเขาประณามคนชอบธรรมว่าเป็นคนนอกรีต โดยกล่าวว่าพวกเขาถูกต้องในการมีบาป พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่าผู้มีบาปที่ชอบโต้เถียงคนชอบธรรมนั้นผิดและพวกเขาทั้งหมดจะต้องไปนรก
เหล่าผู้ที่เชื่อฟังความจริงและพระเจ้าก็เชื่อฟังพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าด้วย เราผู้เป็นคนชอบธรรมเชื่อว่าการพิพากษาของพระเจ้าเป็นตามความจริง
 
 
กลุ่มทางศาสนาของคริสเตียนสามารถส่งเราไปสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ไหม?
 
กลุ่มทางศาสนานั้นไม่สามารถส่งเราไปสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ ภรรยาของผมเคยยั่วแม่ของสามีให้โมโหว่า “กลุ่มทางศาสนาไม่สามารถส่งแม่ไปอาณาจักรสวรรค์ได้หรอก” พูดตรงๆแล้วผมไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ของผมจึงโกรธในคำกล่าวอ้างนี้แม้กระทั่งตอนนี้ ท่านคิดว่ากลุ่มทางศาสนาจะส่งท่านไปสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ไหม? เรารอดจากบาปและเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้โดยการเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าได้เป็นราย บุคคล กลุ่มทางศาสนาของคริสตจักตรโปรเตสแตนต์สามารถส่งท่านไปสู่อาณาจักรสวรรค์ได้หรือไม่? กลุ่มทางศาสนาของคริสตจักรแบ๊ป ติสต์สามารถส่งท่านไปได้ไหม? กลุ่มคริสตจักรพระคุณทำได้ไหม? คริสตจักรเซเว่น-เดย์ แอดเวนติสต์ล่ะทำได้ไหม? ไม่ เราเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้เพียงเมื่อเราเชื่อในการยกความผิดบาปที่พระเยซูทรงจัดเตรียมไว้สำหรับเราเท่านั้น
 
 
เราจะต้องยึดมั่นอยู่ในคริสตจักรของพระเจ้า
 
ท่านอัครสาวกเปาโลแยกผู้มีบาปที่จะต้องไปนรกและผู้ชอบธรรมที่จะเข้าสู่อาณาจักรสรววค์ในหมู่คริสเตียนทั้งหมดไว้อย่างชัดเจน ข่าวประเสริฐนั้นให้ความเท่าเทียมกับทุกคนเหมือนกันกับพวกชาวยิวและชาวกรีก โดยชาวกรีกคอยช่วยเหลือพวกเจนไทน์ และชาวยิวคอยช่วยเหลือคนอิสราเอล พระเจ้าไม่ทรงมองดูเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของคน พระเจ้าทรงรอผู้ที่เชื่อในพระวจนะของพระเจ้าด้วยหัวใจ ท่านเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าไหม? ท่านเชื่อว่าพระเยซูคือผู้ช่วยให้รอดของเราไหม? เราเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ได้เพียงเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูทรงรับเอาความผิดบาปทั้งหมดของโลกนี้ไว้กับพระองค์โดยพิธีบัพติศมาของพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในตัวเราทรงนำเราให้ออกจากความทรยศความเชื่อของเราและช่วยต่อสู้กับศัตรูของเราเมื่อเกิดอันตรายขึ้นกับเรา เราจะต้องระมัดระวัง
ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมีสุภาษิตของทุ่งนาสี่ประเภท ทุ่งนาบางประ เภทนั้นมีความหมายถึงผู้ที่ไม่สามารถรอดจากความผิดบาปได้ เมล็ดพันธ์ที่ได้หว่านลงในทุ่งนานั้นตายในทันทีก่อนที่มันจะงอกขึ้น มา กรณีเช่นนี้ก็เหมือนกับเมล็ดพันธ์ที่ตายแล้ว ซึ่งก็มีผลอันเดียวกันนั่นก็คือความตาย แล้วสามารถรัก ษาความเชื่อของเราเอาไว้ด้วยตัวเราเองไหม? ไม่ เรารัก ษาความเชื่อของเราเพียงเมื่อพระผู้เป็นเจ้าประ ทานพลังในการอดทนต่อทุกปัญหาและและการรักษาความเจ็บป่วยทางจิตวิญญาณทั้งหมดในขณะ ที่เรายึดมั่นอยู่ในเถาองุ่นที่แท้จริง
คริสตจักรของพระเจ้าก็เหมือนกับเถาองุ่น พระผู้เป็นเจ้าประทานพระพร, การรักษา, การปลอบ โยน และความเชื่อเพื่ออดทนต่อการข่มเหงในขณะที่เรายึดมั่นในคริสตจักรของพระเจ้า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่ได้ยึดมั่นอยู่ในเถาองุ่น? เราก็จะตายอย่างรวดเร็ว หัวใจของคนชอบธรรมไม่สามารถอดทนต่อการโจมตีของซาตานได้และในท้ายที่สุดก็จะเจ็บป่วยถ้าพวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับคริสตจักร แม้ว่าพวกเขาอาจจะมีความสามารถและพลังมากมายก็ตาม ท่านเข้าใจไหม? มันจะค่อยๆตกลงและหมดประโยชน์เรื่อยๆ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก และถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรมีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ”(มัทธิว 5:13)
คนชอบธรรมนั้นไม่มีค่าอะไรเลยถ้าพวกเขามีชีวิตดำรงอยู่ห่างจากคริสตจักร พวกเขาสามารถส่องแสงประกายออกมาและได้รับพระพรเมื่อพวกเขายึดมั่นอยู่ในคริสตจักร พวกเขาจะถูกทำลายเมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากคริสตจักรและไม่สามารถเอาชนะโลกได้เมื่อพวกเขาหลงไปใน ทางโลกที่ห่างออกจากคริสตจักร ท่านสามารถค้ำจุนความเชื่อของตัวเองได้นานเท่าใด? ท่านสามารถยืนอยู่ห่างคริสตจักรของพระเจ้าได้นานเท่า ใด? แม้แต่ผู้ปรนนิบัติพระเจ้าก็ไม่สามารถมีชัยได้ อย่างไรก็ตามถ้าเรายึดมั่นอยู่ในต้นองุ่น ครอบครัวของเราก็รอด และหลายๆคนก็สามารถได้รับการยกความผิดบาปผ่านเรา ล็อตไปที่ไหนหลังจากไล่ตามความปรารถนาทางเนื้อหนัง เขาไปที่ซาดัม เขาอยู่ที่นั่นอย่างดี ผลเป็นอย่างไร? เขาถูกทำ ลาย พระคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่าทายาทของล็อตทั้งหมดก็ถูกทำลายด้วย พวกโมอาไบท์และแอมโมไนท์ก็มาจากลูกสาวของล็อต
ทำไมทายาทผู้ที่ต่อต้านพระเจ้าเกิดจากผู้ที่ชอบธรรมล็อต? มันก็เป็นเพราะว่าเขาห่างออกจากคริสตจักร เหตุผลที่ผมไม่รู้สึกผิดหวังในช่วง เวลาที่แสนลำบากก็คือว่าพระเจ้าทรงจัดตั้งคริสตจักรของพระองค์ พระเจ้าทรงอวยพระพรคริสตจักรที่คนชอบธรรมรวมเข้าด้วยกันและเป็นผู้ ดูแลและพระผู้เป็นเจ้าของคริสตจักรให้กับวิสุทธิชนทุกคน มันเป็นคำสัญญาและการรับรองของพระองค์
“เพราะคนทั้งหลายที่ไม่มีพระราชบัญญัติและทำบาปจะต้องพินาศโดยไม่อ้างพระราชบัญญัติ และคนทั้งหลายที่มีพระราชบัญญัติและทำบาปก็จะต้องถูกพิพากษาตามพระราชบัญญัติ (เพราะว่าคนที่เพียงแต่ฟังพระราชบัญญัติเท่านั้น หาใช่ผู้ชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ แต่คนที่ประพฤติตามพระราชบัญญัติต่างหากเป็นผู้ชอบธรรม เพราะเมื่อชนต่างชาติซึ่งไม่มีพระราชบัญญัติได้ประพฤติตามพระราชบัญญัติโดยปกติวิสัย คนเหล่านี้แม้ไม่มีพระราชบัญญัติก็เป็นพระราชบัญญัติแก่ตัว เอง คือแสดงให้เห็นหลักความประพฤติที่เป็นตามพระราชบัญญัตินั้นมีจารึกอยู่ในจิตใจของเขา และใจสำนึกผิดชอบก็เป็นพยานของเขาด้วย ความคิดขัดแย้งต่างๆของเขานั้นแหละ จะกล่าวโทษตัวหรืออาจจะแก้ตัวให้เขา)” (โรม 2:12-15)
ทุกวันนี้ผู้ที่ไม่ได้ไปโบสถ์ก็ไม่รู้จักพระบัญญัติ แล้วใจสำนึกผิดชอบของเขาหรือเธอก็กลายมาเป็นพระบัญญัติเพราะว่าเขาหรือเธอไม่รู้จักพระบัญญัติ เขาหรือเธอทำความชั่วแม้ว่าเขาหรือเธอทราบว่ามันถูกหรือผิดในใจสำนึกผิดชอบของตัวเอง และมันก็เป็นบาปและเขาหรือเธอจะ ต้องแสวงหาพระผู้เป็นเจ้าเพื่อช่วยให้รอดจากบาป พระเจ้าทรงพบกับใครก็ตามที่ต้องการแสงหาพระองค์อย่างแท้จริง
เราจะต้องแสวงหาพระกรุณาของพระองค์ต่อพระพักตร์พระเจ้าและเชื่อในพระองค์ เราจะต้องเชื่อในพระองค์ในขณะที่ละทิ้งทิฐิของตน เราจะต้องมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ เราจะต้องไม่ทิ้งคริสตจักรของพระเจ้า เราจะต้องแสวงหา ต้องเชื่อ และต้องอาศัยอยู่ในคริสตจักร พระเจ้าไม่ทรงขับไล่เราเมื่อเรายึดมั่นอยู่ในคริสตจักรแม้ว่าเราอ่อนกำลังและอ่อนแอ
 
 
บาปของยิว
 
ตอนนี้ท่านอัครสาวกเปาโลเริ่มประกาศข่าวประเสริฐในมาตราวัดที่เต็มที่แก่พวกชาวยิวหลังจากที่แยกพวกเขาออกจากผู้ที่จะเข้าสู่อาณา จักรสวรรค์
“ดูเถิด ท่านเรียกตัวเองว่า ยิว และพึ่งพระราชบัญญัติและยกพระเจ้าขึ้นอวด และว่าท่านรู้จักพระทัยของพระองค์ และเห็นชอบในสิ่งที่ประ เสริฐ เพราะว่าท่านได้เรียนรู้ในพระราชบัญญัติ และท่านมั่นใจว่า ท่านเป็นผู้จูงคนตาบอด เป็นความสว่างให้แก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืด เป็นผู้สอนคนโง่ เป็นครูของเด็ก เพราะท่านมีแบบอย่างของความรู้และความจริงในพระราชบัญญัตินั้น ฉะนั้นท่านซึ่งเป็นผู้สอนคนอื่นจะไม่สอนตัวเองหรือ เมื่อท่านเทศนาว่าไม่ควรลักทรัพย์ ตัวท่านเองลักหรือเปล่า ท่านผู้ที่สอนว่าไม่ควรล่วงประเวณี ตัวท่านเองล่วงประเวณีหรือเปล่า ท่านผู้รังเกียจรูปเคารพ ตัวท่านเองปล้นวิหารหรือเปล่า” (โรม 2:17-22)
เราจะต้องทราบตามนี้ว่า พระเจ้าตรัสกับชาวยิวแต่เดิมแล้ว ดัง นั้นพวกเขาจึงมีพระวจนะของพระเจ้าและมีระบบการบูชาไถ่บาป พระ องค์ทรงสัญญาจะมาโปรดชาวยิวและแสดงแผนการของพระ องค์ให้กับคนรับใช้ชาวยิวของพระองค์ ดังนั้นโมเสสและพวกศาสดาพยากรณ์นั้นก็เป็นคนยิว อย่างไรก็ตามพวกยิวคิดว่าพวกเขาเข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยและพระราชบัญญัติของพระเจ้า โดยขยันท่องจำและจดจำพระวจนะของพระเจ้า ถึงแม้เปาโลกล่าวว่า “ดูเถิด ท่านเรียกตัวเองว่า ยิว และพึ่งพระ ราชบัญญัติและยกพระเจ้าขึ้นอวด” ชาวยิวก็ไม่รอดแม้ว่าพวกเขายกพระเจ้าขึ้นอวดและทำการบูชาสัง เวยบาปอย่างจริงจัง เหล่าผู้ที่ไม่เชื่อในพระเยซูว่าทรงเป็นผู้ช่วยให้รอดนั้นก็เหมือนกับผู้ที่ไม่เชื่อทั้ง หลาย มันหมายความว่าพวกเขาไม่เชื่อในคำสัญญาของพระเจ้าที่ว่าพระองค์จะทรงช่วยพวกเขาเหมือน กับระะบบการบูชาไถ่บาป และก็ไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด
พวกยิวจะต้องตกนรกเพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด ก็ไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขาที่ได้วางมือลงบนหัวของแพะหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาไม่เชื่ออย่างแท้จริงว่า”การวาง มือ”หมาย ความถึง”การผ่านบาป”ในช่วงเวลาของมาลาคีในตอนท้ายของพันธสัญ ญาฉบับเก่า พวกเขาเชื่ออย่างดีในช่วงเวลาของดาวิด แต่ความเชื่อของพวกเขาก็เริ่มแกว่งไปมาจากช่วงเวลาของโซโลมอน ในช่วงยุคของการแบ่งอาณาจักร พวกเขาก็นมัสการพระเจ้าองค์อื่นเช่นบาร์และอาเชราห์ในขณะที่พวกเขาจัดการบูชาไถ่บาปตามธรรมเนียมในวิหาร การจัดการบูชาไถ่บาปตามธรรมเนียมนั้นก็เหมือนกับการไม่เชื่อในพระเจ้า พระเจ้าจะทรงพอพระทัยเมื่อเราเชื่อและยึดมั่นในพระวจนะของพระองค์
ในระบบการบูชาไถ่บาปของแท่นบูชา บาปของแต่ละคนได้ผ่านไปสู่หัวของสัตว์สังเวยเมื่อเขาทำการวางมือ แต่พวกเขาไม่เชื่อมัน พวกเขาสอนผู้อื่นโดยคิดว่าพวกเขาทราบว่าอะไรผิดอะไรถูก มันเป็นบาปของพวกยิว การไม่เชื่อในความจริงของพระวจนะของพระเจ้า การรู้จักพระวจนะของพระองค์เพียงตัวหนังสือ และการเทศน์พระวจนะไปสู่ผู้อื่นนั้นเป็นบาปของพวกยิว
มันก็เหมือนกับการไม่เชื่อในพระเจ้านั่นเองมันเป็นบาปที่ร้ายกาจ “ดูเถิด ท่านเรียกตัวเองว่า ยิว และพึ่งพระราชบัญญัติและยกพระเจ้าขึ้นอวด และว่าท่านรู้จักพระทัยของพระองค์ และเห็นชอบในสิ่งที่ประ เสริฐ เพราะว่าท่านได้เรียนรู้ในพระราชบัญญัติ และท่านมั่นใจว่า ท่านเป็นผู้จูงคนตาบอด เป็นความสว่างให้แก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืด เป็นผู้สอนคนโง่ เป็นครูของเด็ก เพราะท่านมีแบบอย่างของความรู้และความจริงในพระราชบัญญัตินั้น” เปาโลได้ชี้บาปของการไม่เชื่อของพวกยิวออกมา
 
 
การเชื่อในพระเยซูด้วยบาปในหัวใจคือการสบประมาทประเจ้า
 
เราก็ประยุกต์ข้อผิดพลาดของพวกยิวกับคริสเตียนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ได้ ยิวเป็นพวกเดียว กับผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูได้ทรงทำให้พวกเขาบริสุทธิ์โดยการลบมลทินบาปทั้งหมดออก “ท่านผู้โอ้อวดในพระราช บัญญัติ ตัวท่านเองยังลบหลู่พระเจ้าด้วยการละเมิดพระราชบัญญัติหรือเปล่า? เพราะมีเขียนไว้แล้วว่า ‘คนต่างชาติพูดหมิ่นประมาทต่อพระนามของพระเจ้าก็เพราะท่านทั้งหลาย’” (โรม 2:23-24) ถ้าเราเชื่อในพระเยซูในทางที่ผิดก็จะเป็นการพูดหมิ่นประมาทต่อพระนามของพระเจ้า ถ้าเราไม่เชื่ออย่างแท้จริงในสิ่งที่พระเยซูทรงทำและถ้าเราไม่ได้เกิดใหม่ก็เป็นการพูดหมิ่นประมาทพระนามของพระเจ้า
การเชื่อในพระเยซูโดยไม่ได้เกิดใหม่เป็นการสบประมาทพระเจ้า “ถ้าท่านประพฤติตามพระ ราชบัญญัติ พิธีเข้าสุหนัตก็เป็นประโยชน์จริง แต่ถ้าท่านละเมิดพระราชบัญญัติ การที่ท่านเข้าสุหนัตนั้นก็เหมือน กับว่าไม่ได้เข้าเลย เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตยังประพฤติตามความชอบธรรมแห่งพระ ราชบัญญัติแล้ว การที่เขาไม่ได้เข้าสุหนัตนั้นจะถือเหมือนกับว่าเขาได้เข้าสุหนัตแล้วไม่ใช่หรือ? และคนทั้งหลายที่ไม่เข้าสุหนัตซึ่งเป็นตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ประพฤติตามพระราชบัญญัติ เขาจะปรับโทษท่านผู้มีประมวลพระราชบัญญัติและได้เข้าสุหนัตแล้ว แต่ยังละเมิดพระราชบัญญัตินั้น เพราะว่ายิวแท้ มิใช่คนที่เป็นยิวแต่ภายนอกเท่านั้น และการเข้าสุหนัตแท้ก็ไม่ใช่การเข้าสุหนัตซึ่งปรากฏที่เนื้อหนังเท่านั้น คนที่เป็นยิวแท้ คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตแท้นั้นเป็นเรื่องของจิตใจตามจิตวิญ ญาณ มิใช่ตามตัวบทบัญญัติ คนอย่างนั้นพระเจ้าสรรเสริญ มนุษย์ไม่สรรเสริญ” (โรม 2:25-29) เราทั้งหมดจะต้องได้รับพระวจนะของพระเยซูด้วยหัวใจของเรา
 
 
สิ่งไหนมาก่อน พิธีเข้าสุหนัตหรือพระราชบัญญัติ?
 
สิ่งไหนมาก่อน พิธีเข้าสุหนัตหรือพระราชบัญญัติ? พระเจ้าประ ทานสิ่งไหนให้แก่ชาวอิสราเอลเป็นสิ่งแรก? พิธีเข้าสุหนัต พระเจ้าทรงบอกให้อับราฮัมเข้าสุหนัต อับราฮัมไม่มีบุตรที่ถูกต้องตามกฎ หมายแม้ กระทั่งอายุได้ 99 ปีก็ตาม อย่างไรก็ตามพระเจ้าทรงสัญญาจะประทานบุตรให้อับราฮัมเมื่อเขาอายุได้ 75 ปี พระเจ้าทรงบอกเขาว่า “ออกมานี่เถิด เราจะประทานทายาทให้ท่านมากมายเหมือนกับดาวบนท้องฟ้า” อับราฮัมเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าและรอคอยนานถึง 25 ปี ท้ายที่สุดคำสัญญาก็สมบูรณ์หลังจาก 25 ปี ดังนั้นเขาจึงมีบุตรเมื่อเขาอายุได้ 100 ปี เขารอคอยถึง 25 ปีแม้ว่าเขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและทำข้อผิดพลาดหลายอย่างในขณะที่เขารอคอย พระเจ้าก็ทรงสัญญาที่จะประทานดินแดนแห่งพันธสัญญาให้กับเขาและบุตรของเขาเช่นกัน นั่นคือคานาอันที่มีความหมายโดยนัยถึงอาณาจักรสวรรค์ทรงจิตวิญญาณนั่นเอง
หลังจากที่ทรงประทานคำสัญญาของอาณาจักรสวรรค์ พระเจ้าก็ทรงบอกกับอับราฮัมและผู้ชายทุกๆคนในครอบครัวของเขาให้เข้าสุหนัต พระเจ้าตรัสว่า การเข้าสุหนัตจะเป็นสัญญาณของข้อตกลงระหว่างพระเจ้าและพวกเขา ดังนั้นอับราฮัมเข้าสุหนัตทางเนื้อหนังของหนังหุ้มปลายลึงค์ ผู้ชายทุกคนในครอบครัวของเขาทำพิธีนี้ พิธีเข้าสุหนัตก็เหมือนกับความเชื่อในสิ่งที่เราเชื่อและได้รับข่าวประเสริฐของความจริงนั่นเอง
 
 
ชาวอิสราเอลปฏิเสธที่จะเข้าสุหนัตในหัวใจ
 
อย่างไรก็ตาม ชาวอิสราเอลต่างโอ้อวดในการเป็นทายาทของอับราฮัมและการเข้าสุหนัต และถามคนต่างชาติอย่างยะโสว่า “ท่านได้เข้าสุหนัตไหม?” เราจะต้องเข้าสุหนัตในหัวใจ เรารอดจากความ ผิดบาปเมื่อเราได้รับพระวจนะที่พระเยซูทรงลบมลทินบาปของโลกนี้ออกไปและเชื่อมันด้วยหัวใจ
ไม่มีประเทศไหนที่ถูกรุกรานมากกว่าอิสราเอล พวกเขาเสียใจอย่างสุดซึ้งเหมือนกับคนที่ไม่มีบ้านมาเกือบสองพันปี พระเจ้าทรงเหยียบย่ำลงบนชาวอิสราเอล ทำไม? เพราะว่าพวกเขาไม่เชื่อ
พวกเขาสบประมาทพระนามของพระเจ้าเพราะพวกเขาไม่เชื่อ แม้พระเจ้าทรงรักชาวอิสราเอลและมีพระประสงค์ให้พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงชำระความผิดบาปทั้งหมดของพวกเขา พระองค์มีพระประสงค์ที่จะต่อสู้กับศัตรูของพวกเขาเหมือนเป็นผู้ดูแลของอิสราเอลและทรงต้อง การที่จะประทานพระพรและประทานพระสิริให้แก่พวกเขา
พระเจ้าทรงสัญญาที่จะประทานพระสิริให้แก่ทุกคนและทำให้พวกเขาเป็นบุตรของพระองค์ถ้าพวกเขาเชื่อในพระองค์ด้วยหัวใจของพวกเขาและได้รับการยกความผิดบาป พระเจ้าทรงเตือนทุกคนในโลกนี้ผ่านตัวอย่างของชาวอิสราเอลว่า พระองค์จะทรงส่งให้พวกเขาทั้งหมดไปนรกถ้าพวกเขาไม่รับคำสัญญาของพระองค์
พระเจ้าทรงสัญญาว่าใครก็ตามที่เชื่อในข่าวประเสริฐของความจริงของพระองค์สามารถได้รับพระพรทั้งหมดที่พระเยซูทรงสัญญาไว้แม้ว่าเขาหรือเธอนั้นยังกระทำไม่เพียงพอก็ตาม หนทางเดียวที่จะหลีก เลี่ยงการพิพากษาของพระเจ้าก็คือการเชื่อในข่าวประเสริฐ เชื่อแล้วท่านจะรอดและสามารถหลีก เลี่ยงนรกได้
ผมหวังว่าพระกรุณาของพระผู้เป็นเจ้าจะมีแก่ทุกจิตวิญญาณ